
| รหัสสินค้า | SKU-00051 |
| หมวดหมู่ | งานศิลปะรูปภาพและของสะสม |
| ราคาปกติ | |
| ลดเหลือ | 900.00 บาท |
| สถานะสินค้า | พร้อมส่ง |
| ลงสินค้า | 1 มี.ค. 2558 |
| อัพเดทล่าสุด | 1 มี.ค. 2558 |
| คงเหลือ | ไม่จำกัด |
| จำนวน | ชิ้น |
หลวงปู่ แหวน สุจิณฺโณ ๑๕
วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่
จากหนังสือโครงการหนังสือบูรพาจารย์ เล่ม ๓
เรียบเรียงโดย รศ.ดร.ปฐม -รศ.ภัทรา นิคมานนท์
มีนาคม ๒๕๔๘
![]()
๑๖๑. การปลุกเสกวัตถุมงคล
ต่อไปนี้เป็นคำเล่าของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ เล่าให้ลูกศิษย์ของท่านฟัง แล้วนำมาถ่ายทอด ลงในหนังสือโลกทิพย์ ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๑ ปี พ.ศ.๒๕๒๕ โดยสิทธา เชตวัน ดังนี้ :-
หลวงปู่แหวน ไม่เคยสนใจเรื่องการสร้างพระเครื่องแปลกๆ พิสดาร ตลอดจนเครื่องราง ของขลังเลย มีแต่พระและฆราวาสลูกศิษย์ลูกหาจัดสร้างขึ้น แล้วขนไปให้ท่านปลุกเสกบ้าง ซึ่งท่านก็มีเมตตาไม่ขัดข้อง
หลวงปู่แหวนกล่าวว่า ชาวบ้านทั้งหลายยังติดข้องอยู่ในโลกธรรม โลกียสมบัติ ยึดถือตัวตน บุคคลเราเขา ยังเวียนว่ายตายเกิด ไม่มีโอกาสจะเป็นนักบวชกระทำจิตตัดกิเลส หาทางหลุดพ้นได้สะดวก จำเป็นอยู่เอง ที่ชาวบ้านจะต้องยึดถือพระเครื่องเป็นที่พึ่ง อย่างน้อยพระเครื่องก็เป็นจุดให้ชาวบ้านเข้าถึงความดี ระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า จึงไม่ใช่เรื่องเสียหาย ที่ชาวบ้านจะมีพระเครื่องไว้ติดตัว
“ปู่ก็เสกให้ ใครเอามาให้ ก็ต้องเสกให้ไป ด้วยความเมตตานั่นแหละ หลานเอ๊ย”
หลวงปู่แหวน กล่าวไว้อย่างนี้ เมื่อคณะศรัทธาจากที่ต่างๆ ทั่วสารทิศ หอบหิ้วขนเอาพระ เครื่องรางของขลัง ไปให้ท่านปลุกเสกถึงวัด
ตอนนั้นหลวงปู่แก่มากแล้ว ชราภาพไปด้วยวิสัยสังขาร หูตึง เดินเหินไม่สะดวก ทางวัดจึงต้องจำกัดเวลาให้ชาวบ้านเข้านมัสการ ไม่ค่อยจะให้ท่านเดินทางไกลไปร่วมปลุกเสกพระเครื่อง ในพิธีพุทธาภิเษกใดๆ ง่ายๆ นอกจากว่า หลวงปู่จะยินดีเต็มใจไปเองจริงๆ ทั้งนี้ก็เพื่อจะถนอมชีวิตของหลวงปู่แหวน ไว้ให้ยืนนานเป็นมิ่งขวัญของวัดและประชาชน ผู้เคารพศรัทธาทั้งหลาย ต่อไปให้นานเท่านาน นั่นเอง
มีสิ่งที่น่าสังเกตอยู่อย่างคือ พระเครื่องรางของขลังใดๆ ที่พระและฆราวาส นำไปขอเมตตาจิต จากหลวงปู่แหวนเพื่อให้ท่านปลุกเสกให้นั้น หลวงปู่แหวนจะปลุกเสกให้อย่างมากไม่เกิน ๙ นาที บางครั้งก็เสกให้ ๓ นาที ๕ นาทีบ้าง เป็นอันว่าใช้ได้
การปลุกเสกนี้ไม่มีพิธีรีตรองใดๆ ทั้งสิ้น ต้องไปนอนอยู่ที่วัดรอให้หลวงปู่แหวนออกมาจากห้อง พอท่านออกมาก็ขนสิ่งที่จะปลุกเสกเข้าไปกราบนมัสการท่านทันที แล้วท่านก็จะทำให้ ในเดี๋ยวนั้น ทำปุ๊ปเสร็จปั๊ป ก็เป็นอันว่าแล้วกันไป เสร็จสิ้นเรื่อง เปิดโอกาสให้ผู้คนอื่นๆ เข้าไปนมัสการท่าน ตามคิว ซึ่งแน่นขนัดอยู่ทุกวัน ไม่มีขาด
หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ได้เล่าถึงการปลุกเสกพระ ที่ลูกศิษย์ลูกหาต่างถอดสร้อย และรวมพระเครื่องต่างๆ รอให้หลวงปู่แหวนปลุกเสกให้ดังนี้ :-
“พอใครขนเอาเครื่องรางไปวางเสร็จ หลวงปู่แหวนก็ตั้งท่าสงบใจสงเคราะห์ อาตมาก็จับดูจิตของหลวงปู่แหวน ดูอารมณ์จิตของท่านว่า จะทำยังไง
ครั้นแล้ว ก็เห็นอารมณ์จิตของหลวงปู่แหวนผ่องใสเป็นดาวประกายพฤกษ์เต็มดวง ลอยอยู่ในอกท่าน เวลานั้นกำลังจิตของหลวงปู่แหวน ก็คิดว่า ขออาราธนาบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ให้มาโปรดช่วยทำของเหล่านี้ ให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ เป็นมิ่งขวัญมงคลของบรรดาท่านพุทธบริษัทให้เข้าถึงพระธรรม
โดยความจริง หลวงปู่แหวน ไม่คิดว่าเสกให้เอาไปตีกับชาวบ้าน เอาไปปล้นชาวบ้าน ท่านเสก ให้คนเข้าถึงธรรม”
ท่านนึกในใจต่อไป หลวงปู่แหวนก็อาราธนาบารมีของพระอรหันต์ทั้งหมด บารมีของพรหม ของเทวดาทั้งหมด ตออดจนกระทั่งครูบาอาจารย์
พอถึงพระอรหันต์ อาตมาก็เห็นหลวงปู่ตื้อ ปรี๊ดมาถึงข้างหลัง เอากำปั้นลงหลังอาตมาปั๊ปเข้าให้ แล้วถามว่า เฮ้ย ... มึงมานั่งอยู่ทำไมวะ อาตมาก็เลยบอกไปว่านี่ ... พระผี ไม่ต้องพูด หลวงปู่แหวน เชิญพระผีนะ ไม่ได้เชิญพระมีเนื้อหนังมังสา มีหน้าที่อะไรก็ทำไป
แล้วก็ได้เห็นกระแสจิตหลวงปู่แหวน เป็นประกายพฤกษ์ พุ่งออมาจากอก สว่างเจิดจ้า ใหญ่เหลือเกิน คลุมเครื่องรางของขลังทั้งหมด แสงสว่างประกายพฤกษ์ของจิตพระอรหันตเจ้า แทรกลงไปในเครื่องรางของขลัง อยู่ผิวด้านหน้ายันข้างล่างสุด เรียกว่าคลุมหมดอาบลงไปหมดเลย โพลงสว่างสุกปลั่งไปหมด คล้ายตกอยู่ในเบ้าหลอม เป็นกระแสสว่างของจิตที่เยือกเย็น เต็มไปด้วยอำนาจพุทธบารมี เห็นแล้วรู้สึกเยือกเย็นสบายอย่างประหลาด บอกไม่ถูก
นี่เป็นการปลุกเสกพระเครื่องรางของขลังของหลวงปู่แหวน ซึ่งใช้เวลาไม่ถึง ๓ นาที แต่ทว่าอานุภาพยิ่งใหญ่ ทรงความขลังศักดิ์สิทธิ์ เลิศล้ำน่ามหัศจรรย์
๑๖๒. เกี่ยวกับการทำน้ำมนต์
ความจริงแล้ว หลวงปู่แหวน เช่นเดียวกับพระในสาย หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ไม่ได้สนใจเรื่องการปลุกเสกวัตถุสิ่งของ การทำน้ำมนต์รวมทั้งพิธีกรรมต่างๆ แต่ท่านก็อนุโลมเพื่อเป็นการสงเคราะห์ญาติโยม ที่เขายังต้องการอยู่เท่านั้น ท่านสนใจเรื่องการปฎิบัติภาวนาเพื่อหาทางพ้นทุกข์มากกว่า
ถ้าว่าถึงคาถาที่หลวงปู่ท่านใช้ในการทำน้ำมนต์นั้น ท่านมักใช้บท มงคลจักรวาฬน้อย ที่อัญเชิญมาเสนอท้ายตอนนี้
สมัยที่หลวงปู่แหวน ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก เวลาที่ชาวบ้านเอาน้ำมาถวาย ขอให้ท่านเสกให้ เช่นเขาจะบอกว่าคนนั้น คนนี้ จะคลอดหรือคนนั้นคนนี้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ขอให้หลวงปู่เสกน้ำมนต์ให้ด้วย
บางครั้งหลวงปู่ก็พูดในทำนองขบขันว่า “เออเวลาอย่างหนึ่งเขาก็ไม่บอกเรา เวลาจะคลอดจึงมาบอกเรา ทำให้ลำบากพระเจ้าพระสงฆ์ แทนที่จะไปหาหมอที่โรงพยาบาล”
เวลาหลวงปู่เสกน้ำมนต์ ท่านใช้บทมงคลจักรวาฬน้อย ตามที่กล่าวข้างต้น โดยจะว่าดังๆ ให้ได้ยิน ดังนี้ :-
สัพพะพุทธานุภาเวนะ สัพพะธัมมานุภาเวนะ สัพพะสังฆานุภาเวนะ พุทธะระตะนัง ธัมมะระตะนัง สังฆะระตะนัง ติณนัง ระตะนานัง อานุภาเวนะ จะตุราสีติสะหัสสะธัมมักขันธานุภา เวนะ ปิฎะกัตตะยานุภาเวนะ ชินะสาวะกานุภาเวนะ สัพเพ เต โรคา สัพเพ เต ภะยา สัพเพ เต อันตะรายา สัพเพ เต อุปัททะวา สัพเพ เต ทุนนิมิตตา สัพเพ เต อะวะมังคะลา วินัสสันตุ, อายุวัฑฒะโก ธะนะวัฑฒะโก สิริวัฑฒะโก ยะสะวัฑฒะโก พะละวัฑฒะโก วัณณะวัฑฒะโก สุขะวัฑฒะโก โหตุ สัพพะทา.
ทุกขะโรคะภะยา เวรา โสกา สัตตุ จุปัททะวา, อะเนกา อันตะรายาปิ วินัสสันตุ จุปัททะวา, ชะยะสิทธิ ธะนัง ลาภัง โสตถิ ภาคยัง สุขัง พะลัง, สิริ อายุ จะวัณโณ จะ โภคัง วุฑฒิ จะ ยะสะวา, สะตะวัสสา จะ อายุ จะ ชีวะสิทธิ ภะวันตุ เต
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา, สัพพะพุทธานุภาเวนะ สะทา โสตถิ ภะวันตุ เต.
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา, สัพพะธัมนุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต,
ภาวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา สัพพะสังฆานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต.
เอ้า หายโรคหายภัย อายุมั่นขวัญยืน.
๑๖๓. หลวงปู่ผู้ไม่มีอดีต และเรื่องหูทิพย์ตาทิพย์
มีคำถามว่า เมื่อหลวงปู่แหวน ท่านมาอยู่ที่เชียงใหม่แล้ว ไม่มีใครมานิมนต์ท่านกลับไปจังหวัดเลย บ้านเกิดของท่านบ้างหรือ
มีเขียนอยู่ในหนังสือลานโพธิ์ว่า :-
... คณะญาติโยมทางจังหวัดเลย ก็ต้องการนิมนต์ให้หลวงปู่กลับไปพำนักที่จังหวัดเลย คณะที่ ไปนิมนต์ มีพระอาจารย์ซามา หลวงปูตื้อ หลวงปู่สิม แต่หลวงปู่แหวน ตอบปฏิเสธ โดยท่านขอยึด เอาจังหวัดเชียงใหม่เป็นที่ปฏิบัติธรรมจวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต
และอีกตอนหนึ่งว่า :-
... แต่หลวงปู่ เป็นผู้ซึ่งได้สละแล้วทุกอย่าง ไม่อาลัยอาวรณ์ในสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น แม้อดีตที่ผ่านมา
หลวงปู่ เคยบอกกับผู้ที่เคยไปอ้อนวอนนิมนต์กลับจังหวัดเลยว่า
ท่านเป็นผู้ไม่มีบ้าน ไม่มีญาติ ท่านมีแต่วัด ชีวิตของท่านได้ถวายเพื่อพระพุทธศาสนา โดยหมดสิ้นแล้ว
ท่านไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต นอกจากปัจจุบัน
หลวงปู่มักจะสอนให้คนรู้จักคิดว่า ไม่ควรจะอาวรณ์แต่ในอดีต ควรจะนึกถึงแต่ปัจจุบัน และวางแผนงานในอนาคต ชีวิตจะได้ก้าวหน้า และรุ่งเรือง
อีกคำถามหนึ่ง มีว่า ถ้าเช่นนั้น หมายความว่า หลวงปู่แหวนตัดขาดจากญาติพี่น้องโดยสิ้นเชิง ใช่ไหม ?
ขอให้ท่านผู้อ่านได้พิจารณาเอาเองจากบทความต่อไปนี้ ซึ่งเป็นจดหมายของ คุณมนตรี รามศิริ ลูกหลานหลวงปู่แหวน เขียนในขณะมีตำแหน่งเป็นเกษตรอำเภอเชียงคาน ได้นำลงใน นิตยสารโพธิญาณ ฉบับที่ ๒๓
... ในจดหมายบอกว่า มีลูกหลานของหลวงปู่ ที่จังหวัดเลยได้พากันไปกราบหลวงปู่ ที่วัดดอย แม่ปั๋ง เป็นการเดินทางมาเชียงใหม่ครั้งแรก ต้องถามเส้นทางคนเชียงใหม่ไปเรื่อย จึงด้นดั้นไปถูก
คณะลูกหลานท่านนับว่าโชคดี เป็นโอกาสเหมาะจึงได้เข้ากราบหลวงปู่พอดี สมดังใจปรารถนา
เมื่อหลวงปู่รู้ว่าเป็นลูกหลานมาจากจังหวัดเลย ท่านก็เอ่ยปากถามว่า “แม่แกถูกตะขาบกัด เจ็บมากหรือ ?"
ทำเอาเหลนๆ ทั้งสามคนงุนงงยิ่ง เพราะก่อนเดินทางมากราบหลวงปู่ แม่ของพวกเขาถูกตะขาบกัดเอาเจ็บปวดมากถึงกับร้องครวญครางทั้งคืน ไม่ได้หลับได้นอน !
แล้วท่านผู้อ่านเชื่อไหมครับว่า เรื่องหูทิพย์ตาทิพย์ มีจริง ?
ในจดหมายของคุณมนตรี ลงท้ายว่าอย่างนั้น
มาพิจารณาในแง่ที่หลวงปู่บอกว่า “ฮาบ่มีอดีต บ่มีบ้าน บ่มีญาติมิตร” ก็น่าจะหมายความว่า ท่านไม่ติดยึดในเรื่องเหล่านี้ แต่ถ้าต้องการรู้เรื่องอะไร ก็สามารถกำหนดจิตรู้ได้ในทันที
เรื่องนี้หลวงปู่ไม่ได้โอ้อวด ท่านคงถามด้วยความจริงใจ ซึ่งก็ทำให้เหลนๆ ของท่านแปลกใจ แล้วเล่าบอกต่อกันไป คงไม่ให้ใครงมงาย
เรื่องราวเกี่ยวกับหูทิพย์ ตาทิพย์ ของหลวงปู่แหวน มีมากมาย เล่ากันไม่รู้จักหมดสิ้นอย่างแน่นอน
๑๖๔. สสิปัญญาท่านแหลมคมยิ่งนัก กับเรื่องของหลวงปู่หนู
เรื่องนี้ ท่านพระครูวิบุลศีลวงศ์ วัดสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ ได้เล่าให้ลูกศิษย์คณะโพธญาณ ฟังดังนี้ :-
เมื่อก่อนนี้สมัยที่ท่าน (พระครูฯ ) เดินทางไปหาหลวงปู่แหวน ที่วัดดอยแม่ปั๋งใหม่ๆ ระยะแรกๆ นั้นท่านเองก็มีความรู้สึกที่ตื่นเต้น ในวัตถุมงคลหลวงปู่แหวนมาก แต่ต่อมาภายหลัง เมื่อมีโอกาสได้สนทนาธรรมกับหลวงปู่บ่อยเข้า ท่านกล่าวว่า สติปัญญาของหลวงปู่แหวนนั้น แหลมคมยิ่งนัก ถ้าใครไปถามท่านในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง ก็อาจจะโดนท่านย้อนจนพูดไม่ออกบอก ไม่ได้ทีเดียว
ท่านพระครูฯ เองก็เคยโดนหลวงปู่ ท่านย้อนเอาบ่อยๆ หรือแม้แต่หลวงปู่หนู สุจิตฺโตเอง ก็โดนหลวงปู่ย้อนเอาบ่อยๆ เหมือนกัน แต่ทั้งหลวงปู่แหวน และหลวงปู่หนู นี้ เหมือนดังกับจะรู้ทีกันอยู่ในเชิงสติปัญญา ถ้อยทีถ้อยย้อนกันไปย้อนกันมา
ก่อนหน้าที่หลวงปู่หนู จะไปรับหลวงปู่แหวน จากบ้านปงมาอยู่ทีวัดดอยแม่ปั๋ง หลวงปู่แหวน ท่านบอกเอาไว้ว่า ท่านจะขออยู่ภาวนาเงียบๆ องค์เดียว โดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับใครทั้งสิ้น และภาระต่างๆ อย่าเอามาให้ท่าน
เมื่อตกลงกันดังนี้แล้ว หลวงปู่ผู้เฒ่า ท่านจึงยินยอมมาอยู่ที่พำนักภาวนาที่วัด ดอยแม่ปั๋งแห่งนี้
เวลาล่วงผ่านไป ชื่อเสียงเกียรติคุณของหลวงปู่ผู้เฒ่าโด่งดังออกไป ผู้คนทั้งใกล้และไกล พากันเดินทางไปหาหลวงปู่ ที่วัดดอยแม่ปั๋งอย่างเนืองแน่น
หลวงปู่ผู้เฒ่า นั้นแม้ว่าสังขารร่างกายของท่านจะไม่แข็งแรงดีนัก แต่ท่านก็อุตสาห์เดินทาง จากกุฏิออกมาให้สาธุชนได้พบได้นมัสการทุกวัน ทั้งเช้าและกลางวัน
แต่ก็ยังไม่เพียงพอ
หลวงปู่แหวนนั้น ท่านมีข้อตกลงกับหลวงปู่หนูอยู่ว่า ท่านจะขออยู่อย่างพระผู้ปฏิบัติธรรม แต่เมื่อเวลาคณะศรัทธาที่ไปพบท่าน ต่างก็วุ่นวายจะต้องขอไปกราบบนหลังเท้าของท่านบ้าง คนโน้นก็จะจับจีวรของท่านมาเช็ดหน้าบ้าง คนนี้ก็จะดึงมือท่านมาลูบศีรษะของตัวเองบ้าง ทำให้เกิดความโกลาหล จนหลวงปู่ท่านเซจะล้มก็หลายครั้งหลายหน เวลาหลวงปู่แผ่เมตตาให้แล้ว ไปรับเอาของคืน ก็แย่งชิงกันจนข้าวของหายก็มี
ลักษณะเช่นนี้ เป็นความวุ่นวายที่หลวงปู่ท่านปรารภอยู่เสมอ
หลวงปู่จึงจำกัดตัวเอง พอเสร็จกิจที่ต้องทำข้างนอกแล้วก็ปิดประตูใส่กลอน ห้ามใครเข้าอีก
ชาวคณะที่ต่างก็เดินทางไปหาท่านถึงวัดดอยแม่ปั๋ง เมื่อไม่ได้พบท่าน ก็วุ่นวายทะเลาะกันเอง แล้วก็ต้องไปหา หลวงปู่หนูให้กราบนิมนต์หลวงปูออกมาจากกุฏิ
ระยะแรกๆ หลวงปู่ก็ออกมาทุกครั้ง แต่เมื่อท่านต้องออกมาทั้งวัน เดี๋ยวออก- เดี๋ยวออก โดย ไม่มีเวลาภาวนาทำกิจของท่านเลย หลวงปู่แหวนจึงทวงคำพูดเอากับหลวงปู่หนูว่า
“ที่สัญญากันไว้นั้น เราจะมาอยู่ภาวนาปฏิบัติธรรมนะ ไม่ได้มาอยู่เพื่อวุ่นวายอย่างนี้”
แล้วหลวงปู่ผู้เฒ่าก็เข้าห้อง ปิดประตูใส่กลอน ไม่ต้อนรับใครๆ แม้แต่หลวงปู่หนู เพราะผิดสัญญา
ชาวคณะที่ไปถึงวัดดอยแม่ปั๋ง ติดต่อหลวงปู่หนูแล้ว แต่หลวงปู่ท่านไม่ยอมออกมาให้พบ ก็โกรธจัด บริภาษกันทันทีว่า หลวงปู่หนูเป็นทศกัณฐ์ เป็นยักษ์เป็นมาร อย่างนั้นอย่างนี้บ้าง บางรายถึงขนาดพกมีด พกปืน พกอาวุธขึ้นไปบนดอย จะทำร้ายหลวงปู่หนู ท่าน อย่างนี้ก็มี
เป็นอยู่เช่นนี้บ่อยครั้งเข้า ผู้ที่เข้าใจเรื่องนี้ดี ต่างก็พยายามช่วยอธิบาย ช่วยตักเตือน ช่วยแก้ไขไม่ให้เกิดเป็นบาป เป็นกรรม กับผู้ที่ปากไว ใจไว ทั้งหลาย แต่ไม่ได้ผล
เพราะคนเรามักจะคิดถึงประโยชน์ของตัวเอง เข้าข้างตัวเอง โดยไม่มองความเดือดร้อนของคนอื่น
บางคน บางคณะ แม้ว่าจะมีบุญได้พบได้กราบหลวงปู่ แล้วก็ยังอุตส่าห์ทำให้เกิดบาป เกิดกรรม ให้เป็นรอยด่างในดวงใจของตนเองเสียอีก
โดยสรูป หลวงปู่หนูท่านโดนเรื่องการถูกด่า ถูกว่า ถูกโจมตี จนชาชิน ท่านโดนมากชนิดที่ยากที่ใครจะทนทานได้ นับว่าหลวงปู่หนูได้บำเพ็ญขันติบารมี มากเกินกว่าที่จะมีใครสร้างได้อย่างท่านทีเดียว
๑๖๕. ยืนยันว่าเป็นพระอรหันต์
หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ เล่าเรื่องราวตอนที่พาคณะศิษย์ไปกราบหลวงปู่แหวน ที่วัดดอยแม่ปั๋ง ซึ่งขณะนั้น หลวงปู่แหวน ท่านชราภาพ เกินวัย ๙๐ แล้ว และท่านกำลังเป็นไข้หวัดอยู่
เรื่องราวมีดังนี้
“หลวงปู่เป็นไข้หวัด ไข้มันกินตัว หรือกินใจ ?”
หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ กราบนมัสการถามเบาๆ ขนาดคนห่างออกไปสองเมตรไม่มีทางได้ยิน
แต่หลวงปู่แหวน ได้ยินชัดเจน ทั้งๆ ที่คนทั้งหลายยืนยันว่า หลวงปู่แหวนหูตึง ประสาทหู ดับมานานแล้ว แต่ใจของท่านไม่ดับ จึงได้ยินด้วยใจ
“กินแต่ตัว มันเป็นกรรม” หลวงปู่แหวน ตอบเบาๆ เช่นกัน พอได้ยินสองคนเท่านั้น
“หลวงปู่ทำกำไว้มาก หรือครับ ?” หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ถามเป็นนัย
“กำไว้นิดหน่อย” หลวงปู่แหวนตอบเป็นนัยเช่นเดียวกัน ซึ่งมีความหมายว่า หลวงปู่แหวน มีเศษกรรมเหลืออยู่เล็กน้อย
หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ เปิดเผยกับสานุศิษย์ ทั้งหลายในภายหลังว่า หลวงปู่แหวน มุ่งเอาพุทธภูมิ คืออธิษฐานจิตปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต
แต่เมื่อครั้นหลวงปู่ตื้อ นิพพานไปได้ ๑๔ วัน พระวิญญาณหลวงปู่ตื้อ ก็มาเยี่ยมแล้วว่า “หลวงปู่แหวนจะไปพุทธภูมิ ทำไม ให้เสียเวลา ไปนิพพานเถอะน่า” หลวงปู่แหวน ก็เลยลาพุทธภูมิ และสำเร็จกิจพระศาสนา แล้วเป็นพระอรหันต์แล้ว ยังรอแต่จะถึงวาระทิ้งสังขาร จากโลกเข้าสู่ พระนิพพานเท่านั้น
ผู้เขียน (ปฐม นิคมานนท์) นำเสนอเรื่องนี้ ไม่ต้องการโน้มน้าวผู้ใด ขอให้ผู้อ่านได้พิจารณา ด้วยสติปัญญาของท่านแต่ละท่านเองครับ
๑๖๖. ความผูกพันระหว่างหลวงปู่แหวนกับหลวงพ่อหนู
ข้อความต่อไปนี้ คัดลอกมาจากนิตยสารโพธิญาณ ฉบับที่ ๓๓ มีดังนี้ :-
หลวงปู่แหวน กับ หลวงพ่อหนู ท่านมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง เกินกว่าที่พวกเราคนธรรมดาจะเข้าใจได้ เพียงแต่ว่า หลวงพ่อหนูไปรับเอาหลวงปู่แหวน มาปรนนิบัติดูแลที่วัดดอยแม่ปั๋ง เมื่อขณะที่หลวงปู่ป่วยอยู่นั้น เพียงแค่นั้น ไม่น่าเป็นสาเหตุที่ผูกพันกันลึกซึ้งมากมายนักเลย
ว่ากันว่า เวลาที่หลวงปู่แหวน ท่านอาพาธ ถ้าหากหลวงพ่อหนูไม่อยู่ หลวงปู่แหวน จะไม่ยอมฉันยาเอาเลยทีเดียว และตั้งแต่หลวงปู่ มาอยู่วัดดอยแม่ปั๋งแล้ว ท่านตั้งปณิธานว่า จะไม่ไปไหน อีกเลย แม้มีกิจนิมนต์ก็ไม่รับ แม้เจ็บป่วยก็ไม่ยอมไปรักษานอกวัด หมายความว่า ท่านจะอยู่ และมรณภาพที่วัดดอยแม่ปั๋งที่เดียว
เหตุการณ์ที่แสดงถึงความผูกพันระหว่างหลวงปู่แหวน กับหลวงพ่อหนูมีมากมาย
เมื่อครั้ง หลวงปู่แหวนท่านล้มในห้องน้ำ ต้องเข้ารับการรักษาอยู่ในโรงพยาบาล หลวงพ่อหนูจะต้องไปนอนค้างเฝ้าหลวงปู่ มีอยู่วันหนึ่ง หลวงพ่อหนู ต้องไปรับผ้าป่าและไปค้างที่วัดอื่น พอหลวงพ่อหนูกลับมาถึง ปรากฏว่า หลวงปู่ ท่านเมินหน้าหนี ไม่ยอมพูดกับหลวงพ่อหนู ยาที่จัดถวายก็ไม่ยอมฉัน หลวงพ่อหนู ต้องอธิบายอยู่นาน
อีกครั้งหนึ่ง เมื่อหลวงปู่แหวน กลับจากโรงพยาบาลไปอยู่วัด ร่างกาย หลวงปู่ยังไม่แข็งแรง ดี ยังต้องฉันยาอยู่ เป็นช่วงออกพรรษา วัดบ้านเกิด ที่ยโสธรได้นิมนต์หลวงพ่อหนู ไปรับกฐิน ท่านเห็นว่า ดีเหมือนกัน จะได้ไปเยี่ยมบ้านสัก ๕-๖ วัน
พอหลวงพ่อหนู ไปได้ ๒ วัน หลวงปู่แหวน ท่านไม่เห็นหลวงพ่อหนู จึงได้ถามหา พอรู้ว่า หลวงพ่อหนูไปโดยไม่ได้บอกท่าน (ทิ้งท่านไป) หลวงปู่ไม่ยอมพูด ไม่ฉันข้าว ไม่ฉันยา
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทได้ เสด็จมาพระราชดำเนิน ไปยังวัดดอยแม่ปั๋งในทันที ทรงเยี่ยมทอดพระเนตรอาการของหลวงปู่ ทรงป้อนยา และป้อน อาหาร ถวายหลวงปู่ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง
หลวงปู่ฉันอาหารได้ ๓ คำ
ภายหลังหลวงพ่อหนู ท่านเล่าว่า ในวันที่ล้นเกล้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินสู่วัดดอยแม่ปั๋งนั้น หลังจากเสด็จกลับแล้ว ตกกลางคืน หลวงพ่อหนู นั่งสมาธิ ภาวนาอยู่ที่ยโสธรนั้นเอง ท่านได้นิมิตเห็นพญาครุฑ บินเข้ามาในกุฏิ เป็นนิมิตที่แจ่มชัดมาก
วันรุ่งขึ้น หลวงพ่อหนู รีบจัดแจงหารถเดินทางกลับดอยแม่ปั๋งทันที ทั้งที่คิดว่า จะอยู่ยโสธร ๕-๖ วัน ท่านเดินทางไปถึงดอยแม่ปั๋ง เกือบ ๒ ยาม แล้วรีบกราบหลวงปู่แหวนบนกุฏิทันที
หลวงปู่ยังไม่จำวัด ภัตตาหารและยา ก็ไม่ยอมฉัน ทั้งวันนั่งเงียบๆ ไม่พูดกับใคร พอหลวงพ่อหนู เข้าไปหาและถามว่า ทำไมพระอาจารย์ไม่ฉันยา ไม่ฉันอาหาร หลวงปู่ท่านหัวเราะ บอกไปเอายามา จะฉันเดี๋ยวนี้และเช้าวันรุ่งขึ้น หลวงปู่ก็ฉันภัตตาหารตามปกติ
ตั้งแต่หลวงปู่ล้มในห้องน้ำคราวนั้นแล้ว ร่างกายของหลวงปู่ก็อ่อนแอ ออดๆ แอดๆ เรื่อยมา จนถึงกับมีผู้ปล่อยข่าวว่า หลวงปู่มรณภาพแล้ว แต่ท่านก็ยังอยู่ได้ เพราะยังไม่ถึงเวลาที่ท่านจะละ สังขารนั่นเอง
หลวงพ่อหนู ท่านเล่าว่า หลวงปู่ท่านสามารถข่มเวทนาได้ดีเป็นเลิศ ถ้าเป็นคนธรรมดาทั่วไป อย่าว่าแต่จะหกล้มจนกระดูกต้นขาหักเลย แค่ช้ำบวมก็ร้องลั่นโอดโอย กันแล้ว แต่หลวงปู่ท่านยังทรงสังขารเป็นที่พึ่งทางใจให้กับบรรดาสาธุชนเรื่อยมา จนกระทั่งครั้งสุดท้าย หลวงปู่แหวนเข้าโรงพยาบาลอีกครั้งหนึ่ง นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญต่างก็พยายามกันอย่างเต็มที่
“ใครเล่าจะรดน้ำตอที่ผุกร่อนแล้ว ให้มีดอกมีใบขึ้นมาได้อีก”
พระอาจารย์ใหญ่มั่น อาจารย์ของหลวงปู่แหวน ท่านเคยพูดไว้อย่างนี้ เมื่อครั้งที่ท่านอาพาธหนักครั้งสุดท้าย ที่บ้านหนองผือ และคำพูดนี้ก็มาถึงหลวงปู่แหวน ทำให้เห็นชัดว่า คำพูดของ หลวงปู่มั่น เป็นสัจจธรรมโดยแท้ ที่ใครๆ ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ก่อนหลวงปู่จะละวางสังขาร หลวงพ่อหนูท่านให้รื้อศาลาสร้างใหม่ ทั้งๆ ที่ศาลาหลังเก่า ยังอยู่ในสภาพดี ท่านบอกว่า ถ้าไม่รีบสร้างเดี๋ยวนี้ หลวงปู่ไปก่อนจะไม่ทันการ
หลวงพ่อหนูบอกว่า หลวงปู่ท่านจะไปเมื่อไรหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่ศาลาหลังใหม่ต้อง สร้างเสร็จ และก็สร้างเสร็จก่อนหลวงปู่ละสังขาร
หลวงปู่แหวน บอกกับหลวงพ่อหนู ว่า เมื่อหลวงปู่มรณภาพ ให้รีบเผาท่านตามแบบของพระ กรรมฐาน
หลวงปู่แหวนมรณภาพที่โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ เวลา ๓ ทุ่ม ๕๗ นาที ของวัน อังคารที่ ๒ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๒๘ เมื่อท่านอายุได้ ๙๘ ปีเศษ และบวชพระมา ๗๘ พรรษา
หลวงปู่แหวนละสังขารไปเมื่อทางวัดได้สร้างมณฑปพิพิธภัณฑ์บริขาร และศาลาหลังใหม่ เสร็จเรียบร้อยแล้ว
ในนิตยสารดังกล่าว ได้สรูปในตอนท้ายว่า :-
“ธรรมะของหลวงพ่อหนู คือธรรมะจากหลวงปู่แหวนนั่นเอง แม้สุ้มเสียงจะไม่เหมือนกัน แต่ความผูกพันอันลึกซึ้งด้วยธรรมชั้นสูง หลวงพ่อหนู ก็คือส่วนหนึ่งของหลวงปู่แหวน ทีเดียวละครับ”

** รับประกันพระแท้ภายในระยะเวลา 30วัน นับตั้งแต่วันที่ท่านได้รับพระ หากเก๊ยินดีคืนเงินเต็มจำนวนไม่หักเปอร์เซ็นต์ ** พระต้องอยู่ในสภาพเดิม ไม่ชำรุดหักบิ่น เสียสภาพ ล้างผิว รับคืนเก๊อย่างเดียว หรือตามที่ตกลงกันอีกที่นะครับ
| หน้าที่เข้าชม | 107,151 ครั้ง |
| ผู้ชมทั้งหมด | 88,935 ครั้ง |
| เปิดร้าน | 17 ม.ค. 2558 |
| ร้านค้าอัพเดท | 30 ส.ค. 2568 |