
|
พระพุทธศรีสวรรค์ หรือ อีกชื่อที่เรียกกันคือ "หลวงพ่อศรีสวรรค์"
พระประธานในพระอุโบสถวัดนครสวรรค์ พระอารามหลวง เป็นพระพุทธรูปเก่าแก่มาแต่โบราณ ประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถหลังเก่าของวัดนครสวรรค์ จ.นครสวรรค์ เชื่อว่าสร้างขึ้นตั้งแต่ พ.ศ.1972 พระพุทธศรีสวรรค์ เป็นพระพุทธรูปปางสุโขทัย
กาลเวลาล่วงเลยผ่านมาหลายร้อยปี ทำให้พระอุโบสถชำรุดทรุดโทรม สิ่งปลูกสร้างเครื่องบนหลังคาพระอุโบสถหักพังลงมาทับ ทำให้พระพุทธศรีสวรรค์ชำรุดเสียหายมาก จึงได้มีการซ่อมแซมพระอุโบสถและบูรณะพระพุทธศรีสวรรค์ ต่อมาเมื่อปีใดไม่ปรากฏ ได้มีการบูรณะซ่อมแซมพระอุโบสถครั้งใหญ่ และมีพิธีหล่อพระประธานใหม่ โดยเอาโลหะทองเหลืองจากองค์พระพุทธศรีสวรรค์องค์เก่ามาเททองหล่อขึ้น โดยมีประชาชนจำนวนมากนำเครื่องโลหะทองคำมาร่วมเททองหล่อพระพุทธศรีสวรรค์ ให้ประชาชนได้กราบไหว้บูชาเป็นเวลานาน ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระอุโบสถได้ชำรุดทรุดโทรมมาก จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5เสด็จประพาสเมืองพิษณุโลก เพื่อเททองหล่อพระพุทธชินราชจำลองที่วัดมหาธาตุ พ.ศ.2444 พระองค์เสด็จฯ เยี่ยมเมืองนครสวรรค์ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายหลวงพ่อครุฑ เจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ซึ่งเดิมอยู่ที่วัดจอมคีรีนาคพรต ให้มาอยู่ที่วัดหัวเมืองหรือวัดนครสวรรค์ วัดหัวเมืองอยู่ในสภาพทรุดโทรมมาก พายุพัดอย่างแรงจนทำให้ผนังและหลังคาพระอุโบสถที่สร้างมานานแล้วพังทับพระ ประธานจนชำรุดเสียหายมาก
ประมาณ พ.ศ.2465-2470 ได้มีการบูรณะซ่อมแซมพระอุโบสถและพระพุทธศรีสวรรค์ครั้งใหญ่ที่สุดโดยมี ประชาชนร่วมกันบริจาคทองเหลือง โลหะต่างๆ รวมทั้งทองคำนำมาหลอมหล่อเป็นองค์พระพุทธศรีสวรรค์ให้องค์พระมีขนาดใหญ่กว่า เดิม เป็นขนาดหน้าตัก 2.50 เมตร ขณะที่เททองหล่อนั้นช่วงเย็นใกล้ค่ำเกิดมีแสงพุ่งออกมาจากองค์พระพุทธศรี สวรรค์ มีลำแสงเป็นสีต่างกันถึง 6 สี คือ
1.นีล หรือสีเขียวเหมือนดอกอัญชัน
2.ปีต หรือสีเหลืองเหมือนหรดาลทอง
3.โลหิต หรือสีแดงเหมือนแสงตะวันอ่อนๆ
4.โอทาต หรือสีขาวเหมือนแผ่นเงิน
5.มัญเชฐ หรือสีหงสบาทเหมือนดอกเซ่ง หรือหงอนไก่
6.ประภัสสร หรือสีเลื่อมพรายเหมือนแก้วผลึก
สี ทั้งหมดเรียกกันว่าฉัพพรรณรังสี แปลว่ารัศมี 6 ประการ อันเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก นอกจากนี้ ในยามวิกาลดึกสงัดประชาชนที่มีบ้านเรือนอยู่ใกล้วัดจะได้ยินเสียงพิณพาทย์ ปี่ กลองดังออกมาจากพระอุโบสถบ่อยครั้ง และพระราชสิทธิเวที อดีตเจ้าอาวาส อดีตเจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ เคยเห็นแสงฉัพพรรณรังสีจากองค์พระพุทธศรีสวรรค์ จากอภินิหารดังกล่าวและความเชื่อถือศรัทธาในองค์พระพุทธศรีสวรรค์ ที่ประดิษฐานอยู่คู่เมืองนครสวรรค์มาช้านานตั้งแต่โบราณมา และมักจะมีผู้คนพากันมากราบไหว้บนบาน ขอพร ขอโชคลาภจากองค์พระพุทธศรีสวรรค์ หรือผู้ที่มีความทุกข์เดือดร้อนก็จะนำเครื่องสักการะมาถวาย รวมทั้งบนบานศาลกล่าวขอให้พ้นจากเภทภัย พ้นจากความทุกข์ร้อน มักจะประสบความสำเร็จสมปรารถนา ทำให้มีการแก้บนด้วยการถวายไข่ต้มบ้าง พวงมาลัยบ้าง และที่ขาดไม่ได้คือการแก้บนด้วยละครรำ จนทางวัดต้องจัดทำโรงละครไว้ที่หน้าพระอุโบสถ เพื่อไว้ให้คณะละครได้แสดงแก้บน สำหรับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ย้ายมาประจำอยู่ที่เมืองสี่แคว ต่างก็ต้องมากราบไหว้บูชาพระพุทธศรีสวรรค์เป็นอันดับแรก เพื่อความเป็นสิริมงคล
เรื่องราวปาฏิหาริย์องค์พระพุทธศรีสวรรค์ มีมากมายหลายเรื่องด้วยกัน โดยในครั้งเมื่อปี พ.ศ.2528 ได้มีการบูรณะองค์พระพุทธศรีสวรรค์ ช่างจากกรมศิลปากรได้ทำการลอกผิวทองและรักที่ปิดองค์พระออก ซึ่งจะต้องมีการบวงสรวงขออนุญาต วัดได้เก็บทองและรักที่ลอกออกมาไว้ และได้นำเอารักทองที่ลอกออกมาไปปิดที่ภาพองค์พระพุทธศรีสวรรค์ขนาดบูชา เพื่อให้ประชาชนได้เช่าไว้บูชาประจำบ้าน มีประชาชนมาขอเช่าบูชาภาพไปจนหมดจากวัดในเวลาอันรวดเร็ว เนื่องจากมีนักเลงพระรายหนึ่งได้นำเอารักทองที่ลอกออกมาไปทดลองยิงหลายครั้ง ปรากฏว่ายิงไม่ออก แต่พอหันปากกระบอกปืนไปทางอื่นกลับยิงออก อีกปาฏิหาริย์หนึ่ง คือ หลวงพ่อบุญนำ ชิตมาโร หลานของหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ ได้จำพรรษาอยู่ที่วัดนครสวรรค์ ได้ขอเศษรักทองที่ลอกออกมาจากองค์พระพุทธศรีสวรรค์แล้วนำไปบดผสมกับผงมวลสาร หลายชนิดที่ท่านได้สะสมและปลุกเสกสร้างเป็นพระผงพุทธศรีสวรรค์ แบบหยดน้ำใหญ่ แล้วปลุกเสกเดี่ยวแจกจ่ายแก่ประชาชนที่มาทำบุญที่วัดนครสวรรค์ ผู้ที่ได้รับแจกไป ต่างประสบปาฏิหาริย์ต่างกัน บ้างก็มีโชคลาภ บ้างก็แคล้วคลาดจากอุบัติเหตุ ชาวนครสวรรค์จะทราบกันดี ลองสังเกตุดูที่คอเค้าจะห้อยหลวงพ่อศรีสวรรค์กันเยอะมาก เลยถามว่าทำไมถึงห้อยหลวงพ่อศรีสวรรค์ เล่าว่าเจอประสบการณ์เชียดตายมากับตัวเอง ณ ตอนนี้ได้ห้อยหลวงพ่อศรีสวรรค์ จึงทำให้นับถือมาก และมีคนมาขอเช่าต่อก็ไม่ยอม และเช่นนี้เองจึงทำให้เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน....
|
| หน้าที่เข้าชม | 107,144 ครั้ง |
| ผู้ชมทั้งหมด | 88,928 ครั้ง |
| เปิดร้าน | 17 ม.ค. 2558 |
| ร้านค้าอัพเดท | 30 ส.ค. 2568 |